วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พาเที่ยว "โคเรียนทาวน์" สาวกเกาหลีห้ามพลาด!!!

♥안녕하세요!!! อันยองฮาเซโย♥

            สวัสดีค่าาา ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของเราน้าา ทักทายแบบเกาหลีเล็กน้อย เพราะวันนี้เราจะพาไปเที่ยว "โคเรียนทาวน์!!!"
           โคเรียนทาวน์ (Korean town) หรือสุขุมวิทพลาซ่า ปกติแล้วคนไทยจะคุ้นชินกับย่านไชน่าทาวน์หรือเยาวราชซะมากกว่านะ ที่เยาวราชก็จะมีร้านขายอาหารจีนๆ ขายของจีนๆ บรรยากาศจีนๆใช่ไหมล่ะะ ที่โคเรียนทาวน์ก็เหมือนกัน มีร้านอาหารเกาหลีให้เลือกทานกันมากมายหลายร้านเลย ย้ำว่าหลายร้านมากๆเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว นอกจากร้านอาหารแล้วก็ยังมีร้านขายของเกาหลี ขนมเกาหลี ขายโสมเกาหลีก็มี หรือพวกร้านเครื่องสำอางค์ ร้านสปาอะไรพวกนี้ก็มีนะะะ
แผนที่korean town
ที่มา http://seoulcafe2013.blogspot.com/2013/10/blog-post.html
              การเดินทาง korean town ตั้งอยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท12ค่ะ  วิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุดก็คือนั่ง BTS หรือ MRTนั่นเองง  ถ้านั่งBTS ก็ให้นั่งไปลงสถานีอโศก ไม่ก็สถานีนานาก็ได้นะ เพราะโคเรียนทาวน์มันอยู่ตรงกลางระหว่างสองสถานีนี้เลย  ถ้านั่งMRTก็ลงสถานีสุขุมวิทจ้าา  เสร็จแล้วก็เดินโลด ไม่ไกลมากนะเดินได้ๆ
               ส่วนเราสะดวกนั่ง MRT แจ้  นั่งมาจากสามย่านลงสุขุมวิท 25บาทเองง  ใครต้องการโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินแล้วอยากทราบราคาก่อนก็ไปที่เว็บนี้ http://www.bangkokmetro.co.th/pagerate4.aspx  เก๋ไก๋มาก  มันจะให้เราใส่สถานีต้นทางกับปลายทาง  แล้วก็จะคำนวณค่าโดยสารแล้วก็เวลาการเดินทางให้เรียบร้อยเลยย
นั่งmrtกันน ซื้อเหรียญก่อนๆ

ลงสถานีสุขุมวิทจ้าาาา

ออกมาทางออกที่3นะ มันจะมีทางเชื่อมกับbtsอโศก ลงตรงฝั่งตรงข้ามterminal21อ่ะะะ จากนั้นก็เดินโลดดด เดินไปเรื่อยๆเลย ถ้าเดินผ่านอาคารไทม์สแควร์กับโรงแรมเชอราตันแกรนด์แสดงว่ามาถูกทางแล้วนะฮะะ 5555 เดินจนถึงซอยสุขุมวิท12เลยจ้าา หาไม่ยาก ติดถนนใหญ่เลย เดินไม่ไกลนะสำหรับเรา ไม่รู้สำหรับคนอื่นไกลป่าว55555

 
 
 
ถึงแล้ววววววววว Korean town ที่รอคอย สภาพดูร้างๆนะ55555 ผิดคาดนิดๆ นึกภาพไว้สวยงามสไตล์เกาหลีกว่านี้
 
บรรยากาศภายในแจ้ เราไปตอนวันเสาร์ เที่ยงๆบ่ายๆ ประมาณนั้น กะไปกินข้าวเที่ยงเลย  คนก็ไม่ได้เยอะพลุกพล่านใดๆ แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงามาก
มันมีหลายชั้นนะ ไม่รู้มีกี่ชั้น55555 แต่ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น2ละมันดูเงียบเหงา ไร้ซึ่งผู้คนมากๆ เลยลงมาดีกว่า ไม่ดงไม่เดินละ เดินดูแต่ชั้น1เลย
 
 
อันนี้เหมือนชั้นใต้ดินจะเป็นที่จอดรถนะะ มีบันไดเดินขึ้น-ลงให้ด้วยจ้าา
 
บรรยากาศภายในค่าา

ร้านขายของเกาหลี
 ร้านนี้ขายของเกาหลีทุกอย่างเลยย เราไม่ได้เข้าไปนะ แต่มองเข้าไปแล้วเห็นตั้งแต่หม้อต้ม กระทะ อุปกรณ์ครัวต่างๆ ไปจนถึงขนมเกาหลี ไอติมเกาหลีเลยทีเดียว

 
ส่วนร้านนี้ก็ไม่ได้เข้าไปเหมือนกัน แต่มองเข้าไปแล้วจะเป็นพวกขนมเกาหลีต่างๆ น่าทานมากกกก อยากเข้าไปเดินชมดมกลิ่นขนมมากแต่เพื่อนเร่ง จะไปอีกที่ต่อเลยไม่มีเวลาเข้าไป
 

คุณเพื่อน เสนอหน้าจัง คนจะถ่ายรูปร้านอาหาร -_-

ร้านอาหารเกาหลีมีเยอะมากกกกกกก
ตรงที่บริเวณชั้น1 ที่เราเดินคือเต็มไปด้วยร้านอาหารเกาหลีเลยค่ะ ซึ่งนั่นก็เป็นจุดมุ่งหมายในทริปนี้อยู่แล้ว55555 แต่มันเยอะมากกกก จนเลือกร้านไม่ถูกอ่ะ เดินวนอยู่หลายรอบมากๆ555 โดยแต่ละร้านเค้าจะมีเมนูอยู่หน้าร้านให้เราเปิดดูนะคะ บอกราคาเสร็จสรรพเลย เราก็ไปยืนดูอยู่หลายร้าน แต่มันก็เหมือนๆกันอ่ะ ไม่รู้จะเลือกร้านไหนดี5555
           เดินๆไปเจอร้านนึงแปะโปสเตอร์2PMพร้อมลายเซ็นไว้หน้าร้านจ้าาา วิญญาณติ่งเข้าสิง บอกเพื่อนเอาร้านนี้แหละๆๆ ดูดีสุดแล้วๆๆ 555555

 
ร้านที่ว่าก็คือร้าน "เมียงคา" นั่นเองง เราว่าบรรยากาศหน้าร้านมันดูดีสุดละนะ
 
โปสเตอร์2PM จ้าาาา อิอิ แปะอยู่หน้าร้านเชิญชวนให้เข้าไปมาก
ตอนแรกเรานึกว่าแปะโปสเตอร์ไว้เฉยๆนะ แต่กลับบ้านมาอ่านรีวิวร้านนี้ละเขาบอกว่าทูพีเอ็มเคยมากิน...กรี๊ดดดดดดดดดดด
 
บรรยากาศภายในร้านฮะะะะ มีที่ดูดควันสำหรับปิ้งย่างด้วยนะ แต่เราไม่ได้กินปิ้งย่าง แพง ไม่มีตัง55


 
ในร้านมีโทรทัศน์2เครื่อง  เครื่องนึงเปิดรายการเกาหลี อีกเครื่องรู้สึกจะเป็นรายการทำอาหารของร้านมั้ง


 
ในร้านมีลายเซ็นเต็มไปหมดเลยย ติดเต็มฝาผนังเลยค่ะ แล้วก็มีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเทพฯด้วยค่ะ ไม่ธรรมดานะเนี่ยร้านนี้


อุปกรณ์การรับประทาน *_*
 ที่ร้านนี้ใช้ช้อนกับตะเกียบโลหะ ให้อารมณ์แบบเกาหลีแท้ๆเลยยย

เครื่องเคียง
พอสั่งอาหารเสร็จ เครื่องเคียงก็มากันเต็มโต๊ะเลยค่าาา มีตั้ง9อย่างแหนะ รสชาติก็พอใช้ได้นะะ  โดยเราสั่งบิบิมบัพ ต็อกบกกี แล้วก็กิมจิชิเกจ้าา
 
 
เริ่มด้วยกิมจิชิเก หรือว่าซุปกิมจินั่นเองจ้าา มาพร้อมข้าวหนึ่งถ้วย  อร่อยมากกกนะ ชอบมาก มีใส่หมูสามชั้นมาด้วยเล็กน้อย อร่อยสุดในที่สั่งมาละ5555 ไม่เผ็ดด้วยนะ คนไม่ทานเผ็ดกินได้สบายๆเลย เพราะเราก็ไม่ทานเผ็ด 


ต่อด้วยต็อกบกกีจ้าาา สำหรับคนที่ไม่รู้จัก มันคือเค้กข้าวของเกาหลีอ่ะ เอามาผัดๆซอส ใส่ผักไรงี้  เราว่าจานนี้มันแปลกๆอ่ะ มันหวานยังไงไม่รู้ ปกติที่เคยกินมันต้องเผ็ดๆป่ะ อันนี้มันหวานนนนนนอ่ะ  ส่วนแป้งต็อกก็โอเคนะ ไม่นิ่มไม่เหนียวเกินไป
 
 
เมนูสุดท้ายยย บิบิมบัพ หรือ ข้าวยำเกาหลีนั่นเองง บอกก่อนว่าเราสั่งเป็นแบบไม่ใช่หม้อหินร้อนอ่ะ เพราะถ้าแบบชามธรรมดาที่เราสั่งมัน200 แต่ถ้าแบบชามหินร้อนมัน220 ด้วยความงกเลยสั่งแบบธรรมดาสองร้อยพอ5555 พนักงานรับออเดอร์เค้าก็บอกเราแล้วว่าถ้าแบบหม้อหินมันจะอร่อยกว่านะ แต่เราไม่เอาเพราะคิดว่ามันคงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก แค่ชามใส่ข้าว


 
พอเอามาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ งงเลย555555 ปกติก็เคยกินแต่แบบชามหิน และพนักงานก็มายำข้าวให้ที่โต๊ะไรงี้  อันนี้มาเป็นชามสแตนเลส(มั้ง ดูไม่เป็น55)  แล้วก็เสิร์ฟพร้อมซุปสาหร่ายกับซอสโคชูจังใส่ขวดมาให้เรายำเอง

 
แล้วข้าวมันไม่ร้อนด้วยอ่ะะะะ นี่คือประเด็น  ละไข่มาเป็นไข่ดาวสุกๆเลยจ้าา เพราะมันไม่ร้อนไงง ถ้ามาดิบเดี๋ยวไข่ไม่สุกอีก
 
 
  อ่ะๆๆ โอเคๆๆ ทำใจได้แล้วก็จัดการบีบซอสโคชูจังใส่เลยค่าา ใส่เยอะๆเลยจะได้อร่อยๆๆๆ
 
    เสร็จแล้วก็ยำๆๆๆ คลุกๆๆๆ ได้ออกมาหน้าตาแบบนี้เลย ก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับการเห็นผักเป็นผัก แตงกวาสีเขียวๆในพิบิมบัพเท่าไหร่ เพราะปกติที่ทานก็จัดแดงมาทั้งชามเลย ดูไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อันไหนผักอะไร ทำให้เรากินๆไป อร่อยดี แล้วสเน่ห์ของบิบิมบัพก็คือข้าวที่ไหม้ๆติดก้นถ้วยใช่ไหมล่ะะ ซึ่งแน่นอนว่าชามนี้ไม่มี555555 เราว่ามันไม่ร้อนแล้วไม่อร่อยอ่ะะะะ ผักดิบไป5555 กินเกือบไม่หมด บ่ายเบี่ยงกันกินกับเพื่อน  แนะนำเลยว่าสั่งแบบชามหินร้อนดีกว่า เพิ่ม20บาทเพื่อคุณภาพที่ดีกว่า5555 ในเมนูเขียนว่า โดลซด บิบิมบัพ อะไรประมาณนี้แหละ
 
 
พอทานจะเสร็จ พนักงานก็มาเสิร์ฟน้ำถ้วยนี้  ไม่มีการบอกเลยนะว่ามันคือน้ำอะไร ปล่อยให้เรานั่งมองนั่งดมนั่งเดากันเอง5555 ดมละได้กลิ่นเหมือนขิง พอชิมละหวานๆ ไม่มีกลิ่นขิงเลย ชิมไปชิมมา อ้าว มีข้าวอยู่ในน้ำด้วย ก็คงเป็นน้ำข้าวผสมน้ำขิงมั้ง5555 ไม่รู้อ่ะ เดาๆเอา แต่เรากินไปแต่น้ำ ไม่กล้ากินข้าว
 
 สรุป  ค่าเสียหายมื้อนี้   บิบิมบัพ         200 บาท
                                      กิมจิชิเก        200 บาท
                                      ต็อกบกกี       200บาท
                                      โค้ก 1 ขวด    30บาท
กิมจิชิเกอร่อยสุดนะ แนะนำๆ555555
          
               ก็ถ้าใครอยากลองมาชิมอาหารเกาหลีแบบต้นตำรับ อยากทานขนมเกาหลีแท้ๆ หรือกำลังหาวัตถุดิบ เครื่องปรุงต่างๆในการทำอาหารเกาหลี ต้องมาที่นี่เลยแหละ  มีทุกอย่างที่เกี่ยวกับเกาหลี  ร้านอาหารก็มีหลายร้านมากๆเลยนะ วันหลังเราก็จะไปลองร้านอื่นบ้าง55555 อยากไปกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง อิ_อิ





 

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จิตอาสา


"จิตอาสา"
        คำนี้คนจำนวนหนึ่งคงได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ยังมีอีกมากมายหลายล้านคน ไม่เคยได้ยินหรือรู้ความหมายของคำเล็กๆ คำนี้เลย
        จิตอาสา คือ ผู้ที่มีจิตใจที่เป็นผู้ให้ เช่น ให้สิ่งของ ให้เงิน ให้ความช่วยเหลือด้วยกำลังแรงกาย แรงสมอง ซึ่งเป็นการเสียสละ สิ่งที่ตนเองมี แม้กระทั่งเวลา เพื่อเผื่อแผ่ ให้กับส่วนรวม...อีกทั้งยังช่วยลด "อัตตา" หรือความเป็นตัว เป็นตน ของตนเองลงได้บ้าง
        "อาสาสมัคร" เป็นงานที่เกิดจากผู้ที่มี จิตอาสา ซึ่งมีความหมายอย่างมาก กับสังคมส่วนรวม เป็นผู้ที่เอื้อเฟื้อ เสียสละ เวลา แรงกาย แรงใจ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือ สังคมให้เกิด ประโยชน์และความสุขมากขึ้น



                       ในวันศุกร์ที่ 31 พ.ค.หลังเลิกเรียน ฉันและเพื่อนๆได้ไปที่สวนเบญจสิริมา ที่นั่นสวยมากๆ บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด เหมาะแก่การพักผ่อนสำหรับครอบครัวเป็นอย่างมากเพราะที่นี่มีการแบ่งโซนสำหรับเด็กเล็ก เด็กโต ซึ่งกำหนดช่วงอายุไว้ และสนามกีฬาต่างๆ รวมไปถึงสระว่ายน้ำก็มี อย่างเช่นในรูปนี้ ฉันได้ไปช่วยทำความสะอาดที่สนามเด็กเล่นของเด็กเล็ก ฉันรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้ทำจิตอาสาในครั้งนี้ และยังได้เป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชนอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

วันสงกรานต์

วันสงกรานต์ ประวัติวันสงกรานต์ ตำนานสงกรานต์
สงกรานต์
เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"



สงกรานต์

เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี

พิธีสงกรานต์

เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข

ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริม จนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ

การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

ตำนานนางสงกรานต์

ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย

ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน

ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกิน..พธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้

ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกา พระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะ ก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ

จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม แห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้

1. ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
2. ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
3. ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
4. ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
5. ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
6. ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
7. ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)

สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า

1. วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
2. วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
3. วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
4. วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
5. วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ
6. วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
7. วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี
ที่มา http://www.baanmaha.com/community/thread18739.html

วันจักรี

วันจักรี



          ในทุกๆ วันที่ 6 เมษายน ของทุกปีนั้นถือเป็นสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย นั่นคือ วันจักรี ซึ่งเป็นวันที่เราจะร่วมกันระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวมถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำประวัติและความสำคัญของวันนี้มาฝากกันค่ะ

ประวัติการตั้งชื่อวันจักรี นั้นเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปี พ.ศ. 2325 นั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และยังทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยอีกด้วย และยังเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์ ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงข้าราชการและประชาชน ได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง

โดยได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และได้มีการย้ายที่อีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นพระพี่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาทหรือพระที่นั่งศิวาลัยปราสาท ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปของทั้ง 4 พระองค์ มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5

ซึ่งการซ่อมแซม ก่อสร้าง และประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล มาแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายน ในปีนั้น และได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า "วันจักรี"

และทั้งหมดก็คือความเป็นมาของวันจักรี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่วันหยุดราชการธรรมดาๆ แต่เป็นวันที่ประชาชนทุกคนควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันตรุษจีน

ตรุษจีน


          ตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เพราะชาวจีนถือว่า วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ดังนั้นชาวจีนจึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองแตกต่างกันไป สำหรับปี 2556 นี้ วันตรุษจีนตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์
สำหรับที่มาของ วันตรุษจีน นั้น เชื่อกันว่าประเพณีนี้มีมานานกว่าสี่พันปีแล้ว จัดขึ้นเพื่อฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เดิมที่ไม่ได้เรียกว่าเทศกาลตรุษจีน แต่มีชื่อเรียกต่างกันตามยุคสมัย นั่นคือเมื่อ 2100 ปีก่อนคริสตศักราชจะเรียกว่า "ซุ่ย" ซึ่งมีความหมายถึงการโคจรครบหนึ่งรอบของดาวจูปิเตอร์ จนกระทั่งต่อมาในยุค 1000 กว่าปีก่อนคริสตศักราช เทศกาลตรุษจีนจะถูกเรียกว่า "เหนียน" หมายถึงการเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์นั่นเอง

นอกจากนี้ วันตรุษจีน ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันชุงเจ๋" ซึ่งหมายถึงเทศกาลดูใบไม้ผลิ หรือขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ เพราะช่วงก่อนตรุษจีนนั้นตรงกับฤดูหนาว ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศเหมาะสมแก่การเพาะปลูก ชาวจีนจึงสามารถทำนา ทำสวน ได้อีกครั้งหลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวมานั่นเอง

ส่วนการกำหนด วันตรุษจีน นั้น ตามประเพณีเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายตามปฏิทินจันทรคติของจีน และถือว่าคืนวันที่ 30 เดือน 12 เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ส่วนวันที่ 1 เดือน 1 คือวันชิวอิก หมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ
การเตรียมงานเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนนั้น จะเริ่มขึ้นตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน วันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) โดยผู้คนจะเริ่มซื้อข้าวของต่างๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้านเรือน และเตรียมทำความสะอาดครั้งใหญ่ ตั้งแต่ชั้นบนลงชั้นล่าง เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะเป็นการปัดกวาดสิ่งที่ไม่ดีออกไป ภายในบ้าน ทั้งประตู หน้าต่าง จะประดับประดาไปด้วยสีแดง และกระดาษสีแดงที่มีคำอวยพรให้อายุยืน ร่ำรวย อยู่ดีมีสุข ฯลฯ

จากนั้นครอบครัวจะร่วมรับประทานอาหารที่ล้วนแต่มีความหมายมงคลทั้งสิ้น เช่น กุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรืองและความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งความโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา) สาหร่าย จะนำความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร หลังจากทานอาหารค่ำแล้ว ทุกคนในครอบครัวจะนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับ วันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง
ตรุษจีน


นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันตรุษจีน คือ "อั่งเปา" ซึ่งมีความหมายว่า "กระเป๋าแดง" หรือจะใช้คำว่า "แต๊ะเอีย" ซึ่งมีความหมายว่า "ผูกเอว" จากที่คนสมัยก่อนชอบร้อยเงินเป็นพวงผูกไว้ที่เอว โดยการให้อั่งเปานี้ คู่แต่งงานจะให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว จะออกมาจากบ้านเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ในหมู่ญาติ และด้วยเพื่อนบ้าน ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- thai.cri.cn
- abhidhamonline.org
- thaigoogleearth.com